2. กลุ่มคนที่ควรระวัง
ช่วงหน้าร้อนนี้ ประชาชนควรระมัดระวังในเรื่องการรับประทานอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ เพราะมีข้อมูลพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 24 กุมภาพันธ์ 2562 พบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ จำนวน 17,651 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุดคือ อายุ 15–24 ปี รองลงมาคือ 25-34 ปี และอายุมากกว่า 65 ปี ตามลำดับ
3. เชื้อแบคทีเรียทำให้ป่วย
โรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนพิษของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิฯ ที่ปนมากับอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารไม่สะอาด และอาหารที่ปรุงไว้นาน ไม่ได้แช่เย็นหรือนำมาอุ่นก่อน ประกอบกับในช่วงนี้อากาศที่ร้อนทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีและเพิ่มมากขึ้น
เมนูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
สำหรับอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด "โรคอาหารเป็นพิษ" ที่ประชาชนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ มี 10 เมนู ได้แก่ ลาบดิบ ก้อยดิบ, ยำกุ้งเต้น, ยำหอยแครง ยำทะเล, ข้าวผัดโรยเนื้อปู, อาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของกะทิสด เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง, ขนมจีน, ข้าวมันไก่, ส้มตำ อย่างปูปลาร้า, สลัดผักที่มีธัญพืช, น้ำแข็งที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน เมนูอาหารเหล่านี้ควรรับประทานเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น ขอให้หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ นอกจากนี้ อาหารกล่องควรแยกกับข้าวออกจากข้าว ควรรับประทานภายใน 2-4 ชั่วโมง หลังจากปรุงเสร็จ และหากมีกลิ่นผิดปกติไม่ควรรับประทาน
วิธีดูแล "สุขภาพ" เพิ่มเติม
1. ยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด"
สำหรับการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ขอให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” โดยรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน ไม่มีแมลงวันตอม
2. ล้างมือบ่อยๆ
นอกจากนี้ก็ควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร รวมถึงล้างมือก่อน-หลังการเตรียมอาหาร และหลังขับถ่าย
3. หากมีอาการ ต้องรีบไปหาหมอ
แต่ถ้าหากป้องกันตัวเองโดยวิธีต่างๆ แต่ก็ยังป่วยติดเชื้อจากโรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งจะมีอาการคือ พะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องแบบบิดเกร็งเป็นพักๆ ถ่ายอุจจาระ ปวดหัว คอแห้งกระหายนํ้า และอาจมีไข้ร่วมด้วย เป็นต้น
หากมีอาการแบบนี้ให้รู้ไว้เลยว่าป่วยเข้าให้แล้ว ควรดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยการจิบน้ำผสมสารละลายเกลือแร่ (ORS) บ่อยๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
ที่มา - สำนักงานโรคติดต่อทั่วไป สำนักสื่อสารความเสี่ยง กรมควบคุมโรค